ยิ้ม เมื่อพ่อสร้างรอยยิ้ม ให้คนไทยได้ยิ้มแม้จะอยู่ที่ไหน
รักใจของพ่อมีรัก คอยแบ่งปันความรักให้กับทุกหัวใจ
วันคืนที่พ้นมา ยาวนานสักเท่าไร
พวกเรายังยิ้มได้เพราะพ่อ
จึงอยากขอตามรอยเท้าพ่อต่อไป
ตามความรัก ตามคำสอนที่พ่อให้
จะคอยทำสิ่งที่ดี แม้จะมีใครเห็นหรือไม่
เพื่อตอบแทนทุกรอยยิ้มและความสุขความรักที่พ่อให้ไว้
จึงอยากขอตามรอยเท้าพ่อต่อไป…
ตามความรัก ตามคำสอนที่พ่อให้…
จึงอยากขอตามรอยเท้าพ่อต่อไป…
ตามความรัก ตามคำสอนที่พ่อให้…
จะคอยทำสิ่งที่ดี แม้จะมีใครเห็นหรือไม่
เพื่อตอบแทนทุกรอยยิ้มและความสุขความรักที่พ่อให้ไว้
ด้วยหัวใจ…จากหัวใจ...
พี่บอยด์ โกสิยพงศ์ แต่งด้วย พี่แต่งได้เพราะจริงๆ ค่ะ ถ่ายทอดความรู้สึกได้ดีมากเลยขอพระองค์ทรงพระเจริญค่ะ
๖/๓๐/๒๕๕๒
๖/๒๙/๒๕๕๒
12 วิธีพูดมาตรฐาน
1) บอกเล่า คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการสื่อให้ผู้ฟังเข้าใจเรื่องนั้นๆ เช่น
I drink milk every day.
He drinks milk every day.
2) ปฎิเสธ คือ ประโยคที่ผู้พูดบอกผู้ที่ฟังว่า "..ไม่.." ในเรื่องนั้นๆ เช่น
I don't drink milk every day.
He doesn't drink milk every day.
3) คำถาม คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการให้ผู้ฟังตอบว่า Yes หรือ No เช่น
Do you drink milk every day?
Does he drink milk every day?
4) ถามพิเศษ คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการให้ผู้ฟังตอบว่า อะไร,ที่ไหน,เมื่อไหร่ เช่น
What do you drink every day?
What does he drink every day?
5) คำสั่ง คือ ประโยคที่ผู้พูดบอกให้ผู้ฟังทำตาม ที่ขึ้นต้นด้วย กริยา เสมอเช่น
Drink milk, please
Please, drink milk
6) สั่งห้าม คือ ประโยคที่ผู้พูดบอกห้ามผู้ฟังว่า "..อย่า.." ทำสิ่งนั้นใช้ don't เสมอเช่น
Don't drink milk, please.
Please, don't drink milk.
7) ชักชวน คือ ประโยคที่ผู้พูดเชิญชวนผู้ฟังทำสิ่งนั้นๆ ว่า "..เรา..กันเถอะ" เช่น
Let's drink milk.
How about milk?
8) เสนอแนะ คือ ประโยคที่ผู้พูดเสนอผู้ฟังว่า "..ควรจะ.." ทำหรือไม่ควรจะทำ เช่น
You should drink milk.
You shouldn't drink milk.
9) ปรึกษา คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการปรึกษาผู้ฟังว่า "..ควรจะทำ..หรือไม่" เช่น
Should i drink milk ?
What should i drink ?
10) ขออนุญาต คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการขออนุญาตทำสิ่งหนึ่งจากผู้ฟัง เช่น
May I drink milk?
Might I drink milk ?
11) ขอร้อง คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการขอร้องให้ผู้ฟังช่วยทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น
Could you drink milk?
Would you mind drinking milk?
12) ขอความเห็น คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการความคิดเห็นจากผุ้ฟัง เช่น
What do you think of milk?
How do you feel about milk?
ตอนนี้ เพื่อนๆ คงใช้ประโยคภาษาอังกฤษ ได้ตรงตามต้องการแล้วซินะ สู้ๆ
I drink milk every day.
He drinks milk every day.
2) ปฎิเสธ คือ ประโยคที่ผู้พูดบอกผู้ที่ฟังว่า "..ไม่.." ในเรื่องนั้นๆ เช่น
I don't drink milk every day.
He doesn't drink milk every day.
3) คำถาม คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการให้ผู้ฟังตอบว่า Yes หรือ No เช่น
Do you drink milk every day?
Does he drink milk every day?
4) ถามพิเศษ คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการให้ผู้ฟังตอบว่า อะไร,ที่ไหน,เมื่อไหร่ เช่น
What do you drink every day?
What does he drink every day?
5) คำสั่ง คือ ประโยคที่ผู้พูดบอกให้ผู้ฟังทำตาม ที่ขึ้นต้นด้วย กริยา เสมอเช่น
Drink milk, please
Please, drink milk
6) สั่งห้าม คือ ประโยคที่ผู้พูดบอกห้ามผู้ฟังว่า "..อย่า.." ทำสิ่งนั้นใช้ don't เสมอเช่น
Don't drink milk, please.
Please, don't drink milk.
7) ชักชวน คือ ประโยคที่ผู้พูดเชิญชวนผู้ฟังทำสิ่งนั้นๆ ว่า "..เรา..กันเถอะ" เช่น
Let's drink milk.
How about milk?
8) เสนอแนะ คือ ประโยคที่ผู้พูดเสนอผู้ฟังว่า "..ควรจะ.." ทำหรือไม่ควรจะทำ เช่น
You should drink milk.
You shouldn't drink milk.
9) ปรึกษา คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการปรึกษาผู้ฟังว่า "..ควรจะทำ..หรือไม่" เช่น
Should i drink milk ?
What should i drink ?
10) ขออนุญาต คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการขออนุญาตทำสิ่งหนึ่งจากผู้ฟัง เช่น
May I drink milk?
Might I drink milk ?
11) ขอร้อง คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการขอร้องให้ผู้ฟังช่วยทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น
Could you drink milk?
Would you mind drinking milk?
12) ขอความเห็น คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการความคิดเห็นจากผุ้ฟัง เช่น
What do you think of milk?
How do you feel about milk?
ตอนนี้ เพื่อนๆ คงใช้ประโยคภาษาอังกฤษ ได้ตรงตามต้องการแล้วซินะ สู้ๆ
18 วิธีรับมือกับความเครียด
เรื่องของความเครียดเป็นปัญหาของคนยุคนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก เมื่อเราต้องทำงานมากขึ้น เวลามีน้อยลง ความเร่งรีบ การแข่งขัน ล้วนแต่ทำให้เราเครียดได้โดยไม่รู้ตัว พาให้ระบบในร่างกายรวนไปหมด เมื่อรู้อย่าง่นี้แล้วต้องหาทางรับมือกับความเครียดกันให้ได้ สมาคมสุขภาพจิตของประเทศแคนาดาก็ได้แนะนำวิธีแก้เครียดเอาไว้ 18 ข้อที่เราน่าจะรับฟังไว้แล้วลองปฏิบัติตามไม่เสียหลาย
1) สังเกตอาการที่คุณเป็นเสมอเวลาเครียด พึงรู้ตัวว่าเมื่อใดที่เกิดอาการเหล่านี้แปลว่าความเครียดมาเยือน ต้องรีบจัดการเสียโดยเร็ว
2) พิจารณาวิถีการใช้ชีวิตของคุณที่ก่อให้เกิดความเครียด แล้วลองดูว่ามีสิ่งไหนที่จะปรับเปลี่ยนได้หรือไม่ ทั้งเรื่องการงาน ครอบครัว หรือภาระหน้าที่กิจวัตรประจำวัน
3) ลองใช้เทคนิคการผ่อนคลายแบบต่างๆ เช่น เล่นโยคะ นั่งทำสมาธิ สูดหายใจลึกๆ หรือแม้แต่การไปนวดเพื่อผ่อนคลาย
4) ออกกำลังกายเรียกเหงื่อ เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยคลายเครียดได้ชะงัด
5) จัดเวลาให้เป็น โดยทำรายการสิ่งที่ต้องทำเป็นข้อๆ จัดอันดับความสำคัญ แล้วเลือกทำสิ่งที่จำเป็นที่สุดเป็นอย่างแรก เมื่อทำเสร็จเรื่องไหนแล้วให้ขีดฆ่าทิ้งไปทีละรายการ คุณจะรู้สึกดีขึ้นมาก
6) พิจารณาสิ่งที่คุณกินเข้าไปบ้าง แอลกอฮอล์ คาเฟอีน น้ำตาล ไขมัน บุหรี่ อะไรเหล่านี้ที่ใครๆ บอกว่าเป็นยาคลายเครียดชั้นดี แท้จริงแล้วมันกลับไปกดร่างกายของคุณให้รับมือกับความเครียดได้แย่ลง คุณน่าจะหันมาหาผลไม้ ผัก ธัญพืช หรืออาหารที่มีโปรตีนสูงๆ แต่มีไขมันต่ำจะดีกับร่างกายของคุณมากกว่า
7) พักผ่อนให้เพียงพอ และนอนหลับให้เต็มอิ่ม
8) หากคุณรู้สึกเครียดมากๆ ควรหาทางระบายออกมาเสียบ้าง ด้วยการเล่าให้คนที่คุณสนิทและไว้ใจได้ฟัง หรือหากไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครก็ยังมีศูนย์ฮ็อตไลน์ที่รับบริการปรึกษาปัญหาชีวิต ซึ่งพร้อมรับฟังปัญหาของคุณ ถึงแม้เขาเหล่านั้นอาจจะไม่มีคำตอบดีๆ ให้คุณแต่การได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น และในที่สุดจะมองเห็นทางออกของปัญหาได้ด้วยตัวของคุณเอง
9) ลองหากิจกรรมการกุศลทำดูบ้าง เช่น ไปเป็นอาสาสมัครต่างๆ การได้ช่วยคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนจะทำให้คุณรู้สึกอิ่มใจ และยังช่วยลดความเครียดไปด้วยในตัว
10) ละทิ้งเรื่องที่กำลังคิดเครียดอยู่ชั่วคราว เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นที่ทำให้คุณสบายใจขึ้น เช่น อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม หรือออกไปเที่ยว คุณจะรู้สึกเหมือนได้ชาร์จแบตเตอรีอีกครั้ง
11) ถ้าคุณกำลังโกรธใครอยู่ ลองหาทางระบายออกอย่างสร้างสรรค์ด้วยการหาอะไรทำสักอย่างที่หันเหความสนใจของคุณ เช่น ขุดดินปลูกต้นไม้ ทำความสะอาดบ้าน คิดถึงแผนงานใหม่ที่ต้องจัดการ แล้วทุ่มพลังทำมันเข้าไป ในที่สุดคุณจะพบว่าคุณลืมเรื่องที่กำลังโกรธได้เอง
12) หากมีเรื่องกับใครก็อย่ามุ่งเอาชนะอีกฝ่ายท่าเดียว เพราะมันอาจนำมาซึ่งการใช้กำลังเข้าตัดสินกันได้ในที่สุดซึ่งจะแย่กับทุกฝ่ายโดยเฉพาะคุณ การยอมแพ้ไม่ใช่เรื่องเสียศักดิ์ศรีแต่เป็นการคิดที่ฉลาดเพื่อยุติข้อขัดแย้งก่อนที่มันจะลุกลามใหญ่โตต่างหาก
13) เมื่อมีปัญหา ให้คิดทีละเรื่อง อย่าคิดหลายๆ เรื่องพร้อมกันในคราวเดียว
14) ไม่ต้องเป็นคนสมบูรณ์แบบมากนักก็ได้
15) เมื่อต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคนอื่น จงทำใจให้สบายแล้วยิ้มสู้เข้าไว้
16) อย่าเอาตัวเองไปแข่งขันกับใคร
17) มองคนที่เราต้องติดต่อด้วยอย่างเป็นมิตรไว้ก่อน
18) สร้างอารมณ์ขันให้กับตัวเองและคนอื่น มองโลกในแง่ดีกว่าเดิม ทำชีวิตให้ง่ายขึ้น
ถ้าคุณทำได้ทั้ง 18 วิธีนี้ เราเชื่อแน่ว่าคุณจะห่างไกลกับความเครียดได้ไม่ยากเลยนะคะ
1) สังเกตอาการที่คุณเป็นเสมอเวลาเครียด พึงรู้ตัวว่าเมื่อใดที่เกิดอาการเหล่านี้แปลว่าความเครียดมาเยือน ต้องรีบจัดการเสียโดยเร็ว
2) พิจารณาวิถีการใช้ชีวิตของคุณที่ก่อให้เกิดความเครียด แล้วลองดูว่ามีสิ่งไหนที่จะปรับเปลี่ยนได้หรือไม่ ทั้งเรื่องการงาน ครอบครัว หรือภาระหน้าที่กิจวัตรประจำวัน
3) ลองใช้เทคนิคการผ่อนคลายแบบต่างๆ เช่น เล่นโยคะ นั่งทำสมาธิ สูดหายใจลึกๆ หรือแม้แต่การไปนวดเพื่อผ่อนคลาย
4) ออกกำลังกายเรียกเหงื่อ เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยคลายเครียดได้ชะงัด
5) จัดเวลาให้เป็น โดยทำรายการสิ่งที่ต้องทำเป็นข้อๆ จัดอันดับความสำคัญ แล้วเลือกทำสิ่งที่จำเป็นที่สุดเป็นอย่างแรก เมื่อทำเสร็จเรื่องไหนแล้วให้ขีดฆ่าทิ้งไปทีละรายการ คุณจะรู้สึกดีขึ้นมาก
6) พิจารณาสิ่งที่คุณกินเข้าไปบ้าง แอลกอฮอล์ คาเฟอีน น้ำตาล ไขมัน บุหรี่ อะไรเหล่านี้ที่ใครๆ บอกว่าเป็นยาคลายเครียดชั้นดี แท้จริงแล้วมันกลับไปกดร่างกายของคุณให้รับมือกับความเครียดได้แย่ลง คุณน่าจะหันมาหาผลไม้ ผัก ธัญพืช หรืออาหารที่มีโปรตีนสูงๆ แต่มีไขมันต่ำจะดีกับร่างกายของคุณมากกว่า
7) พักผ่อนให้เพียงพอ และนอนหลับให้เต็มอิ่ม
8) หากคุณรู้สึกเครียดมากๆ ควรหาทางระบายออกมาเสียบ้าง ด้วยการเล่าให้คนที่คุณสนิทและไว้ใจได้ฟัง หรือหากไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครก็ยังมีศูนย์ฮ็อตไลน์ที่รับบริการปรึกษาปัญหาชีวิต ซึ่งพร้อมรับฟังปัญหาของคุณ ถึงแม้เขาเหล่านั้นอาจจะไม่มีคำตอบดีๆ ให้คุณแต่การได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น และในที่สุดจะมองเห็นทางออกของปัญหาได้ด้วยตัวของคุณเอง
9) ลองหากิจกรรมการกุศลทำดูบ้าง เช่น ไปเป็นอาสาสมัครต่างๆ การได้ช่วยคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนจะทำให้คุณรู้สึกอิ่มใจ และยังช่วยลดความเครียดไปด้วยในตัว
10) ละทิ้งเรื่องที่กำลังคิดเครียดอยู่ชั่วคราว เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นที่ทำให้คุณสบายใจขึ้น เช่น อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม หรือออกไปเที่ยว คุณจะรู้สึกเหมือนได้ชาร์จแบตเตอรีอีกครั้ง
11) ถ้าคุณกำลังโกรธใครอยู่ ลองหาทางระบายออกอย่างสร้างสรรค์ด้วยการหาอะไรทำสักอย่างที่หันเหความสนใจของคุณ เช่น ขุดดินปลูกต้นไม้ ทำความสะอาดบ้าน คิดถึงแผนงานใหม่ที่ต้องจัดการ แล้วทุ่มพลังทำมันเข้าไป ในที่สุดคุณจะพบว่าคุณลืมเรื่องที่กำลังโกรธได้เอง
12) หากมีเรื่องกับใครก็อย่ามุ่งเอาชนะอีกฝ่ายท่าเดียว เพราะมันอาจนำมาซึ่งการใช้กำลังเข้าตัดสินกันได้ในที่สุดซึ่งจะแย่กับทุกฝ่ายโดยเฉพาะคุณ การยอมแพ้ไม่ใช่เรื่องเสียศักดิ์ศรีแต่เป็นการคิดที่ฉลาดเพื่อยุติข้อขัดแย้งก่อนที่มันจะลุกลามใหญ่โตต่างหาก
13) เมื่อมีปัญหา ให้คิดทีละเรื่อง อย่าคิดหลายๆ เรื่องพร้อมกันในคราวเดียว
14) ไม่ต้องเป็นคนสมบูรณ์แบบมากนักก็ได้
15) เมื่อต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคนอื่น จงทำใจให้สบายแล้วยิ้มสู้เข้าไว้
16) อย่าเอาตัวเองไปแข่งขันกับใคร
17) มองคนที่เราต้องติดต่อด้วยอย่างเป็นมิตรไว้ก่อน
18) สร้างอารมณ์ขันให้กับตัวเองและคนอื่น มองโลกในแง่ดีกว่าเดิม ทำชีวิตให้ง่ายขึ้น
ถ้าคุณทำได้ทั้ง 18 วิธีนี้ เราเชื่อแน่ว่าคุณจะห่างไกลกับความเครียดได้ไม่ยากเลยนะคะ
น่าเสียดาย
น่าเสียดาย ที่เรามีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
แต่เรากลับศรัทธาไสยศาสตร์หัวปักหัวปำ
น่าเสียดาย ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่แสนดี
แต่เรากลับมีคนโกงกินเต็มบ้านเต็มเมือง
น่าเสียดาย ที่เรามีวัดอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน/ตำบล
แต่เรากลับมากด้วยคนขาดจริยธรรมอยู่ทั่วไป
น่าเสียดาย ที่เราสถาปนาประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475
แต่เรากลับมีปฏิวัติ/รัฐประหารมาแล้ว 14 ครั้ง
น่าเสียดาย ที่เรามีมหาวิทยาลัยมากมายติดอันดับโลก
แต่เรากลับโชคร้ายที่คนไทยชอบดูดวงบวงสรวงเทพยดา
น่าเสียดาย ที่เรามีป่าไม้-แม่น้ำ-ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
แต่เรากลับเทิดทูนการทำลายแทนการรักษา
น่าเสียดาย ที่เรามีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเอง
แต่เรากลับเก่ง “การลอกเลียนแบบ” เป็นที่สุด
น่าเสียดาย ที่เรามีสื่อมวลชนมากมายไร้พรมแดน
แต่เจ็บปวดเหลือแสนเมื่อสื่อมวลชนมุ่งแต่การขายสินค้า
น่าเสียดาย ที่เรามีกฎหมาย
แต่เรากลับปล่อยให้มีการใช้กฎหมู่จนเป็นเรื่องธรรมดา
น่าเสียดาย ที่เรามีหนังสือมากมายหลายพันเล่มในห้องสมุด
แต่สถิติสูงสุดคือเราอ่านหนังสือกันปีละ 8 บรรทัด
น่าเสียดาย ที่เรามีอินเตอร์เน็ตใช้ก่อนประเทศในโลกที่สาม
แต่เรากลับเสื่อมทรามเพราะใช้ส่งภาพถ่ายคลิปโป๊
น่าเสียดาย ที่เรามีโทรทัศน์หลายสิบช่อง
แต่เรากลับจ้องจะดูแต่ละครน้ำเน่า
น่าเสียดาย ที่เรามีพ่อแม่อยู่ในบ้าน
แต่เรากลับปล่อยให้ท่านอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา
น่าเสียดาย ที่เราสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้
แต่เรากลับชอบใจที่จะเป็นคนเลวตลอดกาล
น่าเสียดาย ที่เราเป็นอิสระจากความอยากได้
แต่เรากลับพึงใจอยู่กับการสนองความอยาก
น่าเสียดาย ที่เราบรรลุนิพพานได้ในชาตินี้
แต่เรากลับยินดีอยู่แค่การทำบุญให้ทาน
-- ท่าน ว.วชิรเมธี --
แต่เรากลับศรัทธาไสยศาสตร์หัวปักหัวปำ
น่าเสียดาย ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่แสนดี
แต่เรากลับมีคนโกงกินเต็มบ้านเต็มเมือง
น่าเสียดาย ที่เรามีวัดอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน/ตำบล
แต่เรากลับมากด้วยคนขาดจริยธรรมอยู่ทั่วไป
น่าเสียดาย ที่เราสถาปนาประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475
แต่เรากลับมีปฏิวัติ/รัฐประหารมาแล้ว 14 ครั้ง
น่าเสียดาย ที่เรามีมหาวิทยาลัยมากมายติดอันดับโลก
แต่เรากลับโชคร้ายที่คนไทยชอบดูดวงบวงสรวงเทพยดา
น่าเสียดาย ที่เรามีป่าไม้-แม่น้ำ-ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
แต่เรากลับเทิดทูนการทำลายแทนการรักษา
น่าเสียดาย ที่เรามีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเอง
แต่เรากลับเก่ง “การลอกเลียนแบบ” เป็นที่สุด
น่าเสียดาย ที่เรามีสื่อมวลชนมากมายไร้พรมแดน
แต่เจ็บปวดเหลือแสนเมื่อสื่อมวลชนมุ่งแต่การขายสินค้า
น่าเสียดาย ที่เรามีกฎหมาย
แต่เรากลับปล่อยให้มีการใช้กฎหมู่จนเป็นเรื่องธรรมดา
น่าเสียดาย ที่เรามีหนังสือมากมายหลายพันเล่มในห้องสมุด
แต่สถิติสูงสุดคือเราอ่านหนังสือกันปีละ 8 บรรทัด
น่าเสียดาย ที่เรามีอินเตอร์เน็ตใช้ก่อนประเทศในโลกที่สาม
แต่เรากลับเสื่อมทรามเพราะใช้ส่งภาพถ่ายคลิปโป๊
น่าเสียดาย ที่เรามีโทรทัศน์หลายสิบช่อง
แต่เรากลับจ้องจะดูแต่ละครน้ำเน่า
น่าเสียดาย ที่เรามีพ่อแม่อยู่ในบ้าน
แต่เรากลับปล่อยให้ท่านอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา
น่าเสียดาย ที่เราสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้
แต่เรากลับชอบใจที่จะเป็นคนเลวตลอดกาล
น่าเสียดาย ที่เราเป็นอิสระจากความอยากได้
แต่เรากลับพึงใจอยู่กับการสนองความอยาก
น่าเสียดาย ที่เราบรรลุนิพพานได้ในชาตินี้
แต่เรากลับยินดีอยู่แค่การทำบุญให้ทาน
-- ท่าน ว.วชิรเมธี --
คำสอน ขงจื้อ
ถ้าถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่
ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น
เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย
เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส
เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย
ดังนี้แล้ว " ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน "
นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด
ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด
ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น
ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี
ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว
แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว
เดินหมากรุกยังต้อง " คิด "
เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร
เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา
เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา
ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้
การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น
ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่
อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น
เมื่อนักการฑูตพูดว่า " ใช่ หรือ อาจจะ " เขามีความหมายว่า " อาจจะ "
เมื่อนักการฑูตพูดว่า " อาจจะ " เขามีความหมายว่า " ไม่ "
เมื่อนักการฑูตพูดว่า " ไม่ " เขาไม่ใช่นักการฑูต (เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร)
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า " ไม่ " หล่อนมีความหมายว่า " อาจจะ "
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า " อาจจะ " หล่อนมีความหมายว่า " ใช่ หรือ ได้ "
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า " ใข่ หรือ ได้ " หล่อไม่ใช่สุภาพสตรี (สุภาพสตรีจะไม่ตอบรับใครง่าย ๆ)
คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย
ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน
คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต
ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น
เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย
เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส
เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย
ดังนี้แล้ว " ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน "
นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด
ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด
ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น
ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี
ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว
แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว
เดินหมากรุกยังต้อง " คิด "
เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร
เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา
เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา
ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้
การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น
ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่
อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น
เมื่อนักการฑูตพูดว่า " ใช่ หรือ อาจจะ " เขามีความหมายว่า " อาจจะ "
เมื่อนักการฑูตพูดว่า " อาจจะ " เขามีความหมายว่า " ไม่ "
เมื่อนักการฑูตพูดว่า " ไม่ " เขาไม่ใช่นักการฑูต (เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร)
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า " ไม่ " หล่อนมีความหมายว่า " อาจจะ "
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า " อาจจะ " หล่อนมีความหมายว่า " ใช่ หรือ ได้ "
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า " ใข่ หรือ ได้ " หล่อไม่ใช่สุภาพสตรี (สุภาพสตรีจะไม่ตอบรับใครง่าย ๆ)
คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย
ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน
คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)