๗/๑๕/๒๕๕๒

เผยโฉม 10 กลโกงทางอินเทอร์เน็ต (Internet Fraud)


อารัมภบท


อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อที่ทำให้คนทั่วโลกสามารถติดต่อถึงกันได้แบบปฏิสัมพันธ์ กล่าวคือ ผู้รับและผู้ส่ง ข้อมูลสามารถสื่อสารและโต้ตอบข้อความกันได้ทันที ในรูปแบบมัลติมีเดีย อีกทั้งยังลดข้อจำกัดเรื่อง ระยะเวลาและสถานที่ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการทำธุรกิจ ผู้ซื้อและผู้ขายได้รับความ สะดวก ในการ ซื้อขายและการโฆษณาสินค้าหรือบริการ อินเทอร์เน็ตทำให้การประกอบธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือ "พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมในปัจจุบันมากขึ้น

อย่างไรก็ดี การใช้อินเทอร์เน็ตอาจจะถูกนำไปใช้ในแง่ลบเพื่อหลอกลวงบุคคล เช่นเดียวกันกับการ ซื้อขายตามปกติ เนื่องด้วยผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตในการทำธุรกรรม อาจไม่ทราบตัวบุคคลของผู้ที่ติดต่อว่า เป็นบุคคลใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน


ข้อมูล สถิติ


จากการศึกษาข้อมูล สถิติเรื่องการใช้อินเทอร์เน็ตเมื่อกลางปี พ.ศ. 2544 (อ้างอิงจาก Nua Internet Survey, สิงหาคม 2544) มีการประมาณการว่าจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกสูงถึง 513 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 8.46 ของประชากรทั่วโลก สำหรับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มีจำนวนกว่า 144 ล้านคน สำหรับข้อมูลจำนวนผู้ใช้ อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยระหว่างเดือนมกราคม ถึงมีนาคม 2544 สำรวจโดยศูนย์ เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามี จำนวน 3.5 ล้านคน (http://ntl.nectec.or.th/internet)

นอกจากนี้ รายงานสำรวจเรื่อง "การหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต” เมื่อปี พ.ศ. 2543 ของหน่วยงาน ของสหรัฐอเมริกาที่ชื่อว่า "National Fraud Information Center" ซึ่งมีหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนจาก ประชาชนเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าและบริการทางอินเทอร์เน็ต พบว่าในช่วงครึ่งหลังของปีเดียวกัน มีการ ร้องเรียนเป็นจำนวนทั้งสิ้น 20,014 เรื่อง และเมื่อรวมมูลค่าความ เสียหายตลอดทั้งปีคิดเป็นเงิน 3,387,530 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือความเสียหายเฉลี่ยต่อบุคคลคิดเป็นจำนวนเงิน 427 ดอลลาร์สหรัฐฯ เรื่องที่ได้รับการ ร้องเรียนมากที่สุด 5 ลำดับแรกคือ การประมูลสินค้าทางอินเทอร์เน็ต (Internet Auctions) (78%), การซื้อสินค้าทั่วไป (10%), การให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Access Services) (3%), การประกอบธุรกิจที่บ้าน (Work-At- Home) (3%) และการให้สินเชื่อล่วงหน้า (Advance Fee Loans) (2%) ตามลำดับ และจากการสำรวจในปี 2544 ที่ผ่านมา บว่าผู้บริโภคได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงิน 4,371,724 ดอลลาร์สหรัฐฯ

การใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการหลอกลวงมีหลายวิธีการ ตั้งแต่วิธีการดั้งเดิมที่อาจพบโดยทั่วไป ไปจนถึงวิธีการที่สลับซับซ้อน ผู้หลอกลวงใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่ สาธารณชน แม้ว่าผู้บริโภคจะมีความรู้ทางเทคโนโลยี แต่ก็อาจไม่รู้เท่าทัน หรือไม่ทราบถึงวิธีการหลอกลวงดังกล่าว จึงอาจได้รับความเสียหายได้ ดังนั้นการทำความเข้าใจถึงรูปแบบของ การหลอกลวงที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือและเสนอ แนะวิธีป้องกันจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคทำให้ สามารถป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น อีกทั้งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ กับทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจ เกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ให้ดียิ่งขึ้นด้วย

๗/๐๗/๒๕๕๒

การแปลภาษาอังกฤษ


"ทำไมการแปลภาษาอังกฤษถึงยากจัง อย่างประโยคที่ใช้คำง่าย แต่กลับแปลไม่ออก ประเภทที่ว่าอ่านได้แต่แปลไม่ได้ ช่วยบอกหลักวิธีการแปลภาษาอังกฤษให้หน่อยได้มั้ยคะ ยกตัวอย่างด้วยก็จะดีมากเลยค่ะ"

หลักวิธีแปล โดยย่อ

๑. อ่านทั้งหมด ดูหน้าที่คำ (ไวยกรณ์แตก) เลือกตำราดีๆ เริ่มจากหนังสือติวเข้ม ไปจนถึงคัมภีร์ไวยกรณ์ต่างๆ
๒. คำไหนไม่ทราบความหมาย ให้เปิดดิกช์ (อังกฤษ-อังกฤษ) เลือกความหมายที่ใช่ โดยดูจากเนื้อความรอบข้าง (ใช้ดิกช์เก่ง เลือกยี่ห้อที่ดี ถ้า Webster จะใช้ศัพท์สูง คือ คำหลัก กับคำแปลมีระดับนามธรรมใกล้กันมาก แนะนำ Oxford Advance Learner และ Longman Contemporary)
๓. แปลเป็นไทย ใช้วาทศิลป์ ภาษาไทยแตก อ่านวรรณกรรมไทยเยอาะๆ เลือกที่ภาษาดี เช่น งานของ พระยาคลัง (หน) โชติ แพร่พันธุ์ ปุ้ย แสงฉาย โดยมากเป็นนักเขียนรุ่นเก่า

when my husband was promoted, (เมื่อ - ของฉัน - สามี - คือ/เป็น - เลื่อนขั้น)
* was promoted = ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง*

we put our house up for sale. ( พวกเรา - วาง - ของพวกเรา - บ้าน - ขึ้นไป - สำหรับ - ขาย)
*put __ up / put up = ปิดประกาศ * *for sale = เพื่อที่จะขาย* Three weeks later, (สาม - สัปดาห์ - ภายหลัง)

it was still on the market (มัน - คือ - ยังคง - บน - คำนำชี้เฉพาะ - ตลาด)
*no the market = ขายทอดตลาด*

I became a compulsive housekeeper. (ฉัน - กลายเป็น - อะหนึ่ง - เกือบจะเหมือนบังคับ - แม่บ้าน )

Every room had to be kept tidy (ทุกๆ- ห้อง - ได้ - ที่จะ - เป็นมา - เก็บ - เป็นระเบียบเรียบร้อย)
* have to = จำเป็นต้อง/ต้อง*

and dishes had to be washed (และ - จาน - ได้/มี - ที่จะ - คือ/เป็น - ล้าง)

and put away when used. (และ - วาง - จากไป - เมื่อไรที่ - ใช้) * put away [PHRV] ; เก็บเข้าที่ *

Then one day the doorbell rang unexpectedly at 8.00 a.m. (จากนั้น - หนึ่ง - วัน - the - ออดประตู - สั่นกระดิ่ง - อย่างปุบปับ - ณ เวลา 8.00 a.m. )

Sleepily, I opened the door (อย่างง่วงนอน, ฉัน - เปิด - the - ประตู)

and saw the real estate agent standing there (และ - เห็น - the - แท้จริง - ที่ดิน/ทรัพย์สมบัติ - ตัวแทน - กำลังยืน - ตรงนั้น) *real estate agent = นายหน้าบ้านที่ดิน *

with a couple from Wyoming. (กับ - a - คู่สามีภรรยา - จาก - Wyoming.

There had been no time to call, (ประเด็นนั้น - ได้/มี - เป็นมา - ไม่มี - เวลา - ที่จะ - โทรศัพท์ไปหา) *has-been [SL] ; เก่า / Related. ก่อนหน้า.
* *no time he explained, (เขาผู้ชาย - ชี้แจ้ง)

because the Wyomingites had to catch a plane home. (เพราะว่า - the - ผู้อยู่อาศัยของWyoming - ได้/มี - ที่จะ - จับ - a - เครื่องบิน -บ้าน)
*had to = จำเป็นต้อง/ ต้อง
* *catch a plane home = ขึ้นเครื่องบินกลับบ้าน*

Don't let the thought of putting pen to paper daunt you.

"Essay"


An essay can have many purposes, but the basic structure is the same no matter what.
You may be writing an essay to argue for a particular point of view or to explain the steps necessary to complete a task.

Either way, your essay will have the same basic format.
If you follow a few simple steps, you will find that the essay almost writes itself. You will be responsible only for supplying ideas, which are the important part of the essay anyway.

๗/๐๑/๒๕๕๒

สำนวนอังกฤษ - ไทย น่ารู้

1. An accident is due to lack of proper care. = อุบัติเหตุมักจะเกิดขึ้นจากการขาดความระมัดระวัง
2. Don’t charge your memory with too many facts = อย่าใช้สมองจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ให้มากจนเกินไป
3. A mad man is not responsible for his actions. = คนบ้าไม่ต้องรับผิดชอบในการกระทำของเขา
4. It’s a sad house where the hen crows louder than the cock. = สามีเป็นช้างเท้าหน้า ภรรยาเป็นช้างเท้าหลัง
5. Marriage is an expensive luxury. = การแต่งงานเป็นของฟุ่มเฟือยที่แสนแพง
6. Fools build house; wise men buy them. = คนโง่สร้างบ้านอยู่ คนฉลาดซื้อบ้านสร้างเสร็จอยู่
7. Keep something for a rainy day. = กินน้ำเผื่อแล้ว
8. There is no fool like an old fool. =ไม่มีใครโง่เกินคนแก่โง่
9. Kill not the goose that lays the golden eggs. = โลภมากลาภหาย.
10. Facts are stubborn things. = ความจริงล้างอย่างไรก็ไม่เลือนหาย

11. It is a foolish sheep that makes. The wolf his confessor. = อย่าชี้โพรงให้กระรอก
12. Brave actiuons never want trumpet. = การกระทำอันกล้าหาญ ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้ใครรู้
13. Good manners are part and parcel of a good education. = กิริยามารยาทที่สุภาพเรียบร้อย เป็นส่วนสำคัญจากการได้รับการศึกษาดี
14. A bad workman always blames his tool. = รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง
15. Habituate yourself to hard work. = จงฝึกฝนตัวเองให้เคยชินกับงานหนัก
16. Fine features make fine birds. = ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง
17. Man has gregarious habits. = มนุษย์ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่คณะ
18. Big fish eat little fish. = ปลาใหญ่กินปลาเล็ก
19. Guardianship has many responsibillitie. = การเป็นผู้ปกครองนั้นต้องมีความรับผิดชอบมาก
20. A friend in need is a friend indeed = เพื่อนแท้คือเพื่อนในยามยาก

21. Birds of a feather flock together = คบคนพาล พาลพาไปหาผิด
22. Actions speak louder than words = ทำดีกว่าพูด
23. A bird in head is worth two in the bush = สิบเบี้ยใกล้มือ
24. A rolling stone gathers no moss = รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี
25. Absence makes the heart grow fonder = ตัวไกลใจอยู่ยิ่งไกลก็ยิ่งรักกัน
26. Make hay while the sun shines = น้ำขึ้นให้รีบตัก
27. He laughs best who laughs last = หัวเราะทีหลังดังกว่า
28. Listeners hear no good of themselves = นินทากาเลเหมือนเทน้ำ
29. It is never too late to mend = ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น
30. Still water runs deep = น้ำนิ่งไหลลึก

ขอบคุณเวป อิงลิชออนไลน์ http://www.engtest.net/

๖/๓๐/๒๕๕๒

เพลง รอยยิ้มของพ่อ

ยิ้ม เมื่อพ่อสร้างรอยยิ้ม ให้คนไทยได้ยิ้มแม้จะอยู่ที่ไหน
รักใจของพ่อมีรัก คอยแบ่งปันความรักให้กับทุกหัวใจ
วันคืนที่พ้นมา ยาวนานสักเท่าไร
พวกเรายังยิ้มได้เพราะพ่อ
จึงอยากขอตามรอยเท้าพ่อต่อไป
ตามความรัก ตามคำสอนที่พ่อให้
จะคอยทำสิ่งที่ดี แม้จะมีใครเห็นหรือไม่
เพื่อตอบแทนทุกรอยยิ้มและความสุขความรักที่พ่อให้ไว้
จึงอยากขอตามรอยเท้าพ่อต่อไป…
ตามความรัก ตามคำสอนที่พ่อให้…
จึงอยากขอตามรอยเท้าพ่อต่อไป…
ตามความรัก ตามคำสอนที่พ่อให้…
จะคอยทำสิ่งที่ดี แม้จะมีใครเห็นหรือไม่
เพื่อตอบแทนทุกรอยยิ้มและความสุขความรักที่พ่อให้ไว้
ด้วยหัวใจ…จากหัวใจ...


พี่บอยด์ โกสิยพงศ์ แต่งด้วย พี่แต่งได้เพราะจริงๆ ค่ะ ถ่ายทอดความรู้สึกได้ดีมากเลยขอพระองค์ทรงพระเจริญค่ะ

๖/๒๙/๒๕๕๒

12 วิธีพูดมาตรฐาน

1) บอกเล่า คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการสื่อให้ผู้ฟังเข้าใจเรื่องนั้นๆ เช่น
I drink milk every day.
He drinks milk every day.
2) ปฎิเสธ คือ ประโยคที่ผู้พูดบอกผู้ที่ฟังว่า "..ไม่.." ในเรื่องนั้นๆ เช่น
I don't drink milk every day.
He doesn't drink milk every day.
3) คำถาม คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการให้ผู้ฟังตอบว่า Yes หรือ No เช่น
Do you drink milk every day?
Does he drink milk every day?
4) ถามพิเศษ คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการให้ผู้ฟังตอบว่า อะไร,ที่ไหน,เมื่อไหร่ เช่น
What do you drink every day?
What does he drink every day?
5) คำสั่ง คือ ประโยคที่ผู้พูดบอกให้ผู้ฟังทำตาม ที่ขึ้นต้นด้วย กริยา เสมอเช่น
Drink milk, please
Please, drink milk
6) สั่งห้าม คือ ประโยคที่ผู้พูดบอกห้ามผู้ฟังว่า "..อย่า.." ทำสิ่งนั้นใช้ don't เสมอเช่น
Don't drink milk, please.
Please, don't drink milk.
7) ชักชวน คือ ประโยคที่ผู้พูดเชิญชวนผู้ฟังทำสิ่งนั้นๆ ว่า "..เรา..กันเถอะ" เช่น
Let's drink milk.
How about milk?
8) เสนอแนะ คือ ประโยคที่ผู้พูดเสนอผู้ฟังว่า "..ควรจะ.." ทำหรือไม่ควรจะทำ เช่น
You should drink milk.
You shouldn't drink milk.
9) ปรึกษา คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการปรึกษาผู้ฟังว่า "..ควรจะทำ..หรือไม่" เช่น
Should i drink milk ?
What should i drink ?
10) ขออนุญาต คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการขออนุญาตทำสิ่งหนึ่งจากผู้ฟัง เช่น
May I drink milk?
Might I drink milk ?
11) ขอร้อง คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการขอร้องให้ผู้ฟังช่วยทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น
Could you drink milk?
Would you mind drinking milk?
12) ขอความเห็น คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการความคิดเห็นจากผุ้ฟัง เช่น
What do you think of milk?
How do you feel about milk?

ตอนนี้ เพื่อนๆ คงใช้ประโยคภาษาอังกฤษ ได้ตรงตามต้องการแล้วซินะ สู้ๆ

18 วิธีรับมือกับความเครียด

เรื่องของความเครียดเป็นปัญหาของคนยุคนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก เมื่อเราต้องทำงานมากขึ้น เวลามีน้อยลง ความเร่งรีบ การแข่งขัน ล้วนแต่ทำให้เราเครียดได้โดยไม่รู้ตัว พาให้ระบบในร่างกายรวนไปหมด เมื่อรู้อย่าง่นี้แล้วต้องหาทางรับมือกับความเครียดกันให้ได้ สมาคมสุขภาพจิตของประเทศแคนาดาก็ได้แนะนำวิธีแก้เครียดเอาไว้ 18 ข้อที่เราน่าจะรับฟังไว้แล้วลองปฏิบัติตามไม่เสียหลาย

1) สังเกตอาการที่คุณเป็นเสมอเวลาเครียด พึงรู้ตัวว่าเมื่อใดที่เกิดอาการเหล่านี้แปลว่าความเครียดมาเยือน ต้องรีบจัดการเสียโดยเร็ว
2) พิจารณาวิถีการใช้ชีวิตของคุณที่ก่อให้เกิดความเครียด แล้วลองดูว่ามีสิ่งไหนที่จะปรับเปลี่ยนได้หรือไม่ ทั้งเรื่องการงาน ครอบครัว หรือภาระหน้าที่กิจวัตรประจำวัน
3) ลองใช้เทคนิคการผ่อนคลายแบบต่างๆ เช่น เล่นโยคะ นั่งทำสมาธิ สูดหายใจลึกๆ หรือแม้แต่การไปนวดเพื่อผ่อนคลาย
4) ออกกำลังกายเรียกเหงื่อ เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยคลายเครียดได้ชะงัด
5) จัดเวลาให้เป็น โดยทำรายการสิ่งที่ต้องทำเป็นข้อๆ จัดอันดับความสำคัญ แล้วเลือกทำสิ่งที่จำเป็นที่สุดเป็นอย่างแรก เมื่อทำเสร็จเรื่องไหนแล้วให้ขีดฆ่าทิ้งไปทีละรายการ คุณจะรู้สึกดีขึ้นมาก
6) พิจารณาสิ่งที่คุณกินเข้าไปบ้าง แอลกอฮอล์ คาเฟอีน น้ำตาล ไขมัน บุหรี่ อะไรเหล่านี้ที่ใครๆ บอกว่าเป็นยาคลายเครียดชั้นดี แท้จริงแล้วมันกลับไปกดร่างกายของคุณให้รับมือกับความเครียดได้แย่ลง คุณน่าจะหันมาหาผลไม้ ผัก ธัญพืช หรืออาหารที่มีโปรตีนสูงๆ แต่มีไขมันต่ำจะดีกับร่างกายของคุณมากกว่า
7) พักผ่อนให้เพียงพอ และนอนหลับให้เต็มอิ่ม
8) หากคุณรู้สึกเครียดมากๆ ควรหาทางระบายออกมาเสียบ้าง ด้วยการเล่าให้คนที่คุณสนิทและไว้ใจได้ฟัง หรือหากไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครก็ยังมีศูนย์ฮ็อตไลน์ที่รับบริการปรึกษาปัญหาชีวิต ซึ่งพร้อมรับฟังปัญหาของคุณ ถึงแม้เขาเหล่านั้นอาจจะไม่มีคำตอบดีๆ ให้คุณแต่การได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น และในที่สุดจะมองเห็นทางออกของปัญหาได้ด้วยตัวของคุณเอง
9) ลองหากิจกรรมการกุศลทำดูบ้าง เช่น ไปเป็นอาสาสมัครต่างๆ การได้ช่วยคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนจะทำให้คุณรู้สึกอิ่มใจ และยังช่วยลดความเครียดไปด้วยในตัว
10) ละทิ้งเรื่องที่กำลังคิดเครียดอยู่ชั่วคราว เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นที่ทำให้คุณสบายใจขึ้น เช่น อ่านหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม หรือออกไปเที่ยว คุณจะรู้สึกเหมือนได้ชาร์จแบตเตอรีอีกครั้ง
11) ถ้าคุณกำลังโกรธใครอยู่ ลองหาทางระบายออกอย่างสร้างสรรค์ด้วยการหาอะไรทำสักอย่างที่หันเหความสนใจของคุณ เช่น ขุดดินปลูกต้นไม้ ทำความสะอาดบ้าน คิดถึงแผนงานใหม่ที่ต้องจัดการ แล้วทุ่มพลังทำมันเข้าไป ในที่สุดคุณจะพบว่าคุณลืมเรื่องที่กำลังโกรธได้เอง
12) หากมีเรื่องกับใครก็อย่ามุ่งเอาชนะอีกฝ่ายท่าเดียว เพราะมันอาจนำมาซึ่งการใช้กำลังเข้าตัดสินกันได้ในที่สุดซึ่งจะแย่กับทุกฝ่ายโดยเฉพาะคุณ การยอมแพ้ไม่ใช่เรื่องเสียศักดิ์ศรีแต่เป็นการคิดที่ฉลาดเพื่อยุติข้อขัดแย้งก่อนที่มันจะลุกลามใหญ่โตต่างหาก
13) เมื่อมีปัญหา ให้คิดทีละเรื่อง อย่าคิดหลายๆ เรื่องพร้อมกันในคราวเดียว
14) ไม่ต้องเป็นคนสมบูรณ์แบบมากนักก็ได้
15) เมื่อต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคนอื่น จงทำใจให้สบายแล้วยิ้มสู้เข้าไว้
16) อย่าเอาตัวเองไปแข่งขันกับใคร
17) มองคนที่เราต้องติดต่อด้วยอย่างเป็นมิตรไว้ก่อน
18) สร้างอารมณ์ขันให้กับตัวเองและคนอื่น มองโลกในแง่ดีกว่าเดิม ทำชีวิตให้ง่ายขึ้น

ถ้าคุณทำได้ทั้ง 18 วิธีนี้ เราเชื่อแน่ว่าคุณจะห่างไกลกับความเครียดได้ไม่ยากเลยนะคะ