
อารัมภบท
อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อที่ทำให้คนทั่วโลกสามารถติดต่อถึงกันได้แบบปฏิสัมพันธ์ กล่าวคือ ผู้รับและผู้ส่ง ข้อมูลสามารถสื่อสารและโต้ตอบข้อความกันได้ทันที ในรูปแบบมัลติมีเดีย อีกทั้งยังลดข้อจำกัดเรื่อง ระยะเวลาและสถานที่ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการทำธุรกิจ ผู้ซื้อและผู้ขายได้รับความ สะดวก ในการ ซื้อขายและการโฆษณาสินค้าหรือบริการ อินเทอร์เน็ตทำให้การประกอบธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือ "พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมในปัจจุบันมากขึ้น
อย่างไรก็ดี การใช้อินเทอร์เน็ตอาจจะถูกนำไปใช้ในแง่ลบเพื่อหลอกลวงบุคคล เช่นเดียวกันกับการ ซื้อขายตามปกติ เนื่องด้วยผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตในการทำธุรกรรม อาจไม่ทราบตัวบุคคลของผู้ที่ติดต่อว่า เป็นบุคคลใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน
ข้อมูล สถิติ
จากการศึกษาข้อมูล สถิติเรื่องการใช้อินเทอร์เน็ตเมื่อกลางปี พ.ศ. 2544 (อ้างอิงจาก Nua Internet Survey, สิงหาคม 2544) มีการประมาณการว่าจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกสูงถึง 513 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 8.46 ของประชากรทั่วโลก สำหรับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มีจำนวนกว่า 144 ล้านคน สำหรับข้อมูลจำนวนผู้ใช้ อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยระหว่างเดือนมกราคม ถึงมีนาคม 2544 สำรวจโดยศูนย์ เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามี จำนวน 3.5 ล้านคน (http://ntl.nectec.or.th/internet)
นอกจากนี้ รายงานสำรวจเรื่อง "การหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต” เมื่อปี พ.ศ. 2543 ของหน่วยงาน ของสหรัฐอเมริกาที่ชื่อว่า "National Fraud Information Center" ซึ่งมีหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนจาก ประชาชนเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าและบริการทางอินเทอร์เน็ต พบว่าในช่วงครึ่งหลังของปีเดียวกัน มีการ ร้องเรียนเป็นจำนวนทั้งสิ้น 20,014 เรื่อง และเมื่อรวมมูลค่าความ เสียหายตลอดทั้งปีคิดเป็นเงิน 3,387,530 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือความเสียหายเฉลี่ยต่อบุคคลคิดเป็นจำนวนเงิน 427 ดอลลาร์สหรัฐฯ เรื่องที่ได้รับการ ร้องเรียนมากที่สุด 5 ลำดับแรกคือ การประมูลสินค้าทางอินเทอร์เน็ต (Internet Auctions) (78%), การซื้อสินค้าทั่วไป (10%), การให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Access Services) (3%), การประกอบธุรกิจที่บ้าน (Work-At- Home) (3%) และการให้สินเชื่อล่วงหน้า (Advance Fee Loans) (2%) ตามลำดับ และจากการสำรวจในปี 2544 ที่ผ่านมา บว่าผู้บริโภคได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงิน 4,371,724 ดอลลาร์สหรัฐฯ
การใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการหลอกลวงมีหลายวิธีการ ตั้งแต่วิธีการดั้งเดิมที่อาจพบโดยทั่วไป ไปจนถึงวิธีการที่สลับซับซ้อน ผู้หลอกลวงใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่ สาธารณชน แม้ว่าผู้บริโภคจะมีความรู้ทางเทคโนโลยี แต่ก็อาจไม่รู้เท่าทัน หรือไม่ทราบถึงวิธีการหลอกลวงดังกล่าว จึงอาจได้รับความเสียหายได้ ดังนั้นการทำความเข้าใจถึงรูปแบบของ การหลอกลวงที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือและเสนอ แนะวิธีป้องกันจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคทำให้ สามารถป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น อีกทั้งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ กับทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจ เกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ให้ดียิ่งขึ้นด้วย
อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อที่ทำให้คนทั่วโลกสามารถติดต่อถึงกันได้แบบปฏิสัมพันธ์ กล่าวคือ ผู้รับและผู้ส่ง ข้อมูลสามารถสื่อสารและโต้ตอบข้อความกันได้ทันที ในรูปแบบมัลติมีเดีย อีกทั้งยังลดข้อจำกัดเรื่อง ระยะเวลาและสถานที่ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการทำธุรกิจ ผู้ซื้อและผู้ขายได้รับความ สะดวก ในการ ซื้อขายและการโฆษณาสินค้าหรือบริการ อินเทอร์เน็ตทำให้การประกอบธุรกิจผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือ "พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยมในปัจจุบันมากขึ้น
อย่างไรก็ดี การใช้อินเทอร์เน็ตอาจจะถูกนำไปใช้ในแง่ลบเพื่อหลอกลวงบุคคล เช่นเดียวกันกับการ ซื้อขายตามปกติ เนื่องด้วยผู้ที่ใช้อินเทอร์เน็ตในการทำธุรกรรม อาจไม่ทราบตัวบุคคลของผู้ที่ติดต่อว่า เป็นบุคคลใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน
ข้อมูล สถิติ
จากการศึกษาข้อมูล สถิติเรื่องการใช้อินเทอร์เน็ตเมื่อกลางปี พ.ศ. 2544 (อ้างอิงจาก Nua Internet Survey, สิงหาคม 2544) มีการประมาณการว่าจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกสูงถึง 513 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 8.46 ของประชากรทั่วโลก สำหรับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มีจำนวนกว่า 144 ล้านคน สำหรับข้อมูลจำนวนผู้ใช้ อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยระหว่างเดือนมกราคม ถึงมีนาคม 2544 สำรวจโดยศูนย์ เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามี จำนวน 3.5 ล้านคน (http://ntl.nectec.or.th/internet)
นอกจากนี้ รายงานสำรวจเรื่อง "การหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต” เมื่อปี พ.ศ. 2543 ของหน่วยงาน ของสหรัฐอเมริกาที่ชื่อว่า "National Fraud Information Center" ซึ่งมีหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนจาก ประชาชนเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าและบริการทางอินเทอร์เน็ต พบว่าในช่วงครึ่งหลังของปีเดียวกัน มีการ ร้องเรียนเป็นจำนวนทั้งสิ้น 20,014 เรื่อง และเมื่อรวมมูลค่าความ เสียหายตลอดทั้งปีคิดเป็นเงิน 3,387,530 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือความเสียหายเฉลี่ยต่อบุคคลคิดเป็นจำนวนเงิน 427 ดอลลาร์สหรัฐฯ เรื่องที่ได้รับการ ร้องเรียนมากที่สุด 5 ลำดับแรกคือ การประมูลสินค้าทางอินเทอร์เน็ต (Internet Auctions) (78%), การซื้อสินค้าทั่วไป (10%), การให้บริการอินเทอร์เน็ต (Internet Access Services) (3%), การประกอบธุรกิจที่บ้าน (Work-At- Home) (3%) และการให้สินเชื่อล่วงหน้า (Advance Fee Loans) (2%) ตามลำดับ และจากการสำรวจในปี 2544 ที่ผ่านมา บว่าผู้บริโภคได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงิน 4,371,724 ดอลลาร์สหรัฐฯ
การใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการหลอกลวงมีหลายวิธีการ ตั้งแต่วิธีการดั้งเดิมที่อาจพบโดยทั่วไป ไปจนถึงวิธีการที่สลับซับซ้อน ผู้หลอกลวงใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่ สาธารณชน แม้ว่าผู้บริโภคจะมีความรู้ทางเทคโนโลยี แต่ก็อาจไม่รู้เท่าทัน หรือไม่ทราบถึงวิธีการหลอกลวงดังกล่าว จึงอาจได้รับความเสียหายได้ ดังนั้นการทำความเข้าใจถึงรูปแบบของ การหลอกลวงที่ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือและเสนอ แนะวิธีป้องกันจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคทำให้ สามารถป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น อีกทั้งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ กับทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจ เกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ให้ดียิ่งขึ้นด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น